Words: Artit Polsukcharoen
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 เวลา 20.17 UTC เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ ที่บุคคลกลุ่มแรกเดินทางไปถึงดวงจันทร์ เพื่อสำรวจและเก็บตัวอย่างทรัพยากรบนดวงจันทร์ โดยนำกลับมายังโลกเพื่อศึกษา วิจัย และเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต ซึ่งนอกจากยาน Apollo 11 และอุปกรณ์ต่างๆที่ถูกนำไปใช้ในภารกิจนี้ ยังมีอุปกรณ์สำคัญที่ติดตัวนักบินอวกาศกลุ่มนี้ไปด้วยคือ “นาฬิกาข้อมือ” ซึ่งก่อนที่นาฬิกาเรือนนั้น จะเป็นอุปกรณ์หลักที่ติดข้อมือนักบินอวกาศได้ ต้องผ่านการทดสอบก่อนที่จะถูกนำไปใช้จริงในการปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ในโครงการ Apollo 11 ตั้งแต่ปี 1964 ซึ่งต้องผ่านบททดสอบอันหนักหน่วง
โดยนาฬิกาที่เข้าร่วมทำการทดสอบในขณะนั้นกว่า 10 แบรนด์ แต่มีนาฬิกาที่ผ่านขั้นตอนการทดสอบของ NASA (National Aeronautics and Space Administration) มีเพียงรุ่นเดียว คือ Omega Speedmaster Professional Ref.ST105.012 cal.321 และได้รับการรับรอง ให้ใช้ในภารกิจทางอวกาศในโครงการ Apollo 11 อย่างเป็นทางการ
นอกจากนาฬิกาจะทำหน้าที่บอกเวลาหรือจับเวลาบนข้อมือแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่นาฬิกา Speedmaster Professional ได้สร้างวีรกรรมไว้ใน Apollo 11 โดยถูกใช้เป็น back up แทนนาฬิกาหลัก บนยานแม่ที่โคจรรอบดวงจันทร์เกิดเสียในตอนนั้น ซึ่งสามารถทำให้ภารกิจสำรวจดวงจันทร์สำเร็จลุล่วง และเดินทางกลับมาถึงโลกได้อย่างปลอดภัย ซึ่งต่อมาในปี 1970 เกิดเหตุการณ์ถัง Oxygen ระเบิด ทำให้ภาระกิจลงจอดบนดวงจันทร์ต้องยกเลิก นักบินอวกาศใช้ นาฬิกา Speedmaster Professional คำนวณเวลาจุดระเบิดของยานจากพลังงานที่เหลืออย่างจำกัด จนสามารถทำให้ยาน Apollo 13 สามารถเดินทางกลับมาสู่โลกได้โดยปลอดภัยอีกครั้ง
พอเข้าสู่ปลายยุค 70s นาฬิการะบบอิเล็คทรอนิคส์ได้ถูกคิดค้น และเริ่มผลิตออกมาจำหน่ายแพร่หลายมากขึ้น สามารถออกแบบนาฬิกาให้ทนต่อสภาวะการใช้งานอย่างหนักหน่วง และเดินได้อย่างเที่ยงตรงมากกว่านาฬิกาจักรกลในราคาที่ถูกลง จึงทำให้บทบาทในภารกิจอวกาศของ Omega Speedmaster Professional ก็ถูกลดลงในฐานะอุปกรณ์ประจำตัวของนักบินอวกาศไปโดยปริยาย
หลังจากจบภารกิจสำรวจดวงจันทร์ในโครงการ Appllo แล้ว “Moon Watch” กลายเป็นชื่อเรียก ของ Omega Speedmaster Professional ในฐานะที่เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่เคยไปดวงจันทร์ โดยยังคงผลิตและจำหน่ายต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นอีก “ตำนาน” ของโลกนาฬิกา