เรื่องราวของนาฬิกา “Seamaster” เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 16 ปี ก่อนหน้าที่นาฬิกาจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก ด้วยการเผยโฉมนาฬิกา Omega “Marine” เมื่อปี 1932 ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกในโลกที่จำหน่ายให้นักดำน้ำพลเรือน โดยระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Omega ได้ส่งมอบนาฬิกาให้กับกองทัพบกและราชนาวีแห่งสหราชอาณาจักร และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับ “Seamaster” เรือนเวลาระดับไอคอนิกที่รังสรรค์มาเพื่อมหาสมุทรของ Omega ซึ่งคอลเลคชั่นนาฬิกาใหม่ที่มาพร้อมกับหน้าปัดสี “Summerblue” อันโดดเด่นที่ผสานโทนสีนำ้เงินแบบไล่เฉดเพื่อสื่อถึงความลึกมหาสมุทร และใช้ฝาหลังที่สลักสัญลักษณ์ที่จะเป็นตัวแทนของคอลเลคชั่น Seamaster โดยสัญลักษณ์นั้นจะต้องสื่อถึงตัวตนที่เกี่ยวข้องทางทะเลและจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง ซึ่งนักออกแบบ Jean-Pierre Borle ก็ได้แรงบันดาลใจระหว่างที่เขาเดินทางไปเยือนเมืองเวนิส นั่นคือรูปปั้นม้าน้ำของเทพเนปจูนที่ประดับอยู่บนกราบเรือสองข้างของเรือกอนโดล่าอันโด่งดังประจำเมือง ที่ทั้งหมดถูกนำมาใส่อยู่ในนาฬิกา “Omega Seamaster Summerblue Collection 2023″
Aqua Terra
หลังจากเปิดตัวเมื่อปี 2002 นาฬิกา Seamaster Aqua Terra คือการฉีกออกจากเส้นทางดั้งเดิมของนาฬิกา Seamaster 300 ที่มีมาตั้งแต่ปี 1957 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Omega ได้เผยโฉมสัมผัสแห่งการออกแบบหลายด้าน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นลวดลายพื้นไม้สักที่ชวนให้นึกถึงดาดฟ้าเรือใบหรูหรือหลักชั่วโมงทรงลำเรือใบ
คอลเลคชั่น Aqua Terra ในปัจจุบันประกอบไปด้วยนาฬิกา 3 รุ่นใหม่ ที่ใช้ตัวเรือนแบบสมมาตรและเม็ดมะยมสแตนเลสสตีล สำหรับรุ่นขนาด 38 มิลลิเมตร ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไก Omega Co-Axial Master Chronometer 8800 จะมาพร้อมกับสายนาฬิกาโลหะขัดเงาสลับด้าน ข้อสายแบบโค้งและหลักชั่วโมงทรงลำเรือใบ ในขณะที่นาฬิการุ่นขนาด 41 มิลลิเมตร ที่นำเสนอตัวเลือกให้เจ้าของนาฬิกา สามารถจับคู่กับสายโลหะหรือสายยางสีน้ำเงิน และขับเคลื่อนด้วยกลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer 8900 โดยนาฬิกาทุกรุ่นจะได้รับหน้าปัด Summer Blue แวววาวแบบใหม่ที่ไล่เฉดสี เพื่อสะท้อนถึงคุณสมบัติการกันน้ำของ Aqua Terra ที่สามารถกันน้ำ 150 เมตร ก่อนที่จะเติมเต็มด้วยชุดเข็มและหลักชั่วโมงชุบ Rhodium เคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova เรืองแสงสีน้ำเงินอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์
Ref.220.10.38.20.03.004 38mm
ราคา 245,000 บาท
Ref.220.10.41.21.03.005 41mm สายโลหะ
ราคา 233,000 บาท
Ref.220.12.41.21.03.008 41mm สายยาง
ราคา 225,000 บาท
Aqua Terra Worldtimer
เพียง 2 ปี หลังจากการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2017 ทาง Omega ได้นำเทคโนโลยีเลเซอร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อรังสรรค์หน้าปัดที่มีผิวสัมผัสและเฉดสีแบบพิเศษ ของภาพทิวทัศน์อันงดงามของโลกที่มองลงมาจากเบื้องบนและสวมใส่บนข้อมือได้ ด้วยระบบบอกเวลากลางวันและกลางคืนกับจุดหมายรอบโลกที่รายล้อมหน้าปัดของนาฬิกา Aqua Terra Worldtimer ที่เปรียบดั่งเสียงที่เรียกร้องถึงการผจญภัย นับเป็นนาฬิกา Seamaster ที่พิเศษถึงกระทั่งมีมหาสมุทรของตนเอง
นาฬิกา Aqua Terra Worldtimer ขนาด 43 มิลลิเมตร นำเสนอทิวทัศน์ของโลกผ่านสีสันรุ่นนี้ถูกรังสรรค์จาก Stainless Steel และมาพร้อมกับสายนาฬิกาโลหะที่เข้าคู่กันหรือสายยางสีน้ำเงิน ประดับรอบหน้าปัดด้วยรายชื่อจุดหมายปลายทางรอบโลกที่พิมพ์ด้วยสีเงิน หน้าปัดด้านในและด้านนอกถูกคั่นด้วยกระจก Hesalite ที่แสดงการบอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง โดยสีน้ำเงินอ่อนจะบอกถึงกลางวันและสีน้ำเงินเข้มหมายถึงเวลาช่วงกลางคืน พื้นผิวของโลกถูกจำลองลงบน Titanium Grade 5 ด้วยการยิงเลเซอร์และลงสี เผยให้เห็นถึงมหาสมุทรสีน้ำเงินและผืนทวีปที่นูนต่ำ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีของ Aqua Terra Worldtimer พร้อมที่จะบอกเวลาแม้อยู่ภายใต้เกลียวคลื่นได้ลึกถึง 150 เมตร และส่งมอบความเที่ยงตรงด้วยกลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer 8938
Ref.220.10.43.22.03.002 สายโลหะ
ราคา 358,000 บาท
Ref.220.12.43.22.03.002 สายยาง
ราคา 350,000 บาท
Seamaster 300
นาฬิกา Omega Seamaster 300 เปิดตัวเมื่อปี 1957 ในฐานะส่วนหนึ่งของสามเรือนเวลา “สำหรับมืออาชีพ” (ร่วมกับ Speedmaster และ Railmaster) ที่มาพร้อมหน้าปัดที่สามารถอ่านเวลาได้อย่างสะดวกรวมถึงคุณสมบัติการกันน้ำที่เหนือชั้น พร้อมกับยืนยันด้วยดาว “Naiad” ที่ประดับไว้ด้านในตราบนเม็ดมะยม โดยเรือนเวลารุ่นใหม่ยังคงสืบทอดตัวตนดังกล่าว ด้วยกลไก Omega Co-Axial Master Chronometer Cal. 8912 ที่ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานระดับสูงสุดในอุตสาหกรรมโดยสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สวิส (METAS)
นาฬิกา Seamaster 300 ขนาด 41 มิลลิเมตร มีตัวเรือนแบบสมมาตรและเม็ดมะยมสแตนเลสสตีลขัดเงาสลับด้าน ที่เข้าคู่กับสายนาฬิกา เช่นเดียวกับคุณสมบัติการกันน้ำที่ 300 เมตร อีกทั้งยังแสดงผ่านหน้าปัดสี Summer Blue เคลือบเงา ที่สะท้อนถึงระดับความลึกของน้ำที่สามารถทนทานได้มากกว่า เพื่อให้เข้ากับสีหลัก เรือนเวลาจาก OMEGA รุ่นนี้ถูกติดตั้งด้วยชุดเข็มชุบโรเดียม, หลักชั่วโมงแบบร่อง และตัวเลขที่บรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova ที่มอบแสงสีน้ำเงินอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์
Ref.234.30.41.21.03.002
ราคา 261,000 บาท
Diver 300M
ด้วยสเกลดำน้ำที่โดดเด่น, ชุดเข็มแบบฉลุ, หลักชั่วโมงที่ยกนูนโดดเด่น และ Helium Vale ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา ทำให้นาฬิกา Seamaster Diver 300M ถูกเปิดตัวในปี 1993 ได้มอบตัวเลือกที่เปี่ยมด้วยสไตล์กับเหล่านักผจญภัยใต้สมุทรลึกใช้จับเวลาที่พวกเขาอยู่ใต้น้ำ
นาฬิกา Seamaster Diver 300M สแตนเลสสตีลขนาด 42 มิลลิเมตร ที่มาพร้อมกับสายนาฬิกาในวัสดุเดียวกันหรือสายยางสีน้ำเงิน คู่ควรกับการเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่นนาฬิกาดำน้ำอันแสนคลาสสิกของ Omega และเช่นเดียวกับนาฬิการุ่นพิเศษเรือนอื่น ๆ หน้าปัดของนาฬิกาถูกสร้างขึ้นจาก Ceramic ลวดลายคลื่นสี Summerblue เคลือบเงาไล่เฉดสีเพื่อสะท้อนถึงระดับการกันน้ำ ล้อมรอบหน้าปัดด้วยขอบหน้าปัด Ceramic สีน้ำเงิน มาพร้อมกับสเกลดำน้ำจาก Enamil Summerblue (กรรมวิธีแบบ Grande Fue) ชุดเข็มฉลุชุบ Rohdium และหลักชั่วโมงยกนูนบรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova สีน้ำเงินอ่อนที่ไม่เหมือนใคร กลไกที่ขับเคลื่อนนาฬิกาดำน้ำรุ่นนี้อยู่ภายในคือ OMEGA Co-Axial Master Chronometer 8800
Ref.210.30.42.20.03.003 สายโลหะ
ราคา 221,000 บาท
Ref.210.32.42.20.03.002 สายยาง
ราคา 209,000 บาท
Planet Ocean 600M
แนวทางการออกแบบของ Seamaster 300 ถูกหยิบยกมาใช้กับเรือนเวลา Planet Ocean ที่เผยโฉมเมื่อปี 2005 ซึ่งมาพร้อมกับขอบตัวเรือนสีส้มและ Helium Valve ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยนาฬิกาเรือนนี้ยังเปิดตัวพร้อมกับระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial อันโด่งดังของ OMEGA ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกในกลไก Calibre 2500 สำหรับผู้ที่มองหานาฬิกาดำน้ำเพื่อใช้งานจริงจังต่างเลือกสรร OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M
นอกจากนี้ นาฬิกายังลงตัวและเหมาะสมกับมหาสมุทรสมชื่อ ในฐานะเครื่องบอกเวลาทำงานได้อย่างไร้ที่ติด้วยความลึก 600 เมตร ใต้เกลียวคลื่นและขับเคลื่อนกลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer 8800 ในตัวเรือนขนาด 39.5 มิลลิเมตร ที่มีตัวเรือนและสายนาฬิกาที่สร้างจาก Stainess Steel ขอบหน้าปัด Ceramic สีน้ำเงินและสเกลดำน้ำสีน้ำเงินอ่อนล้อมรอบหน้าปัด Ceramic สี Summer Blue ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีเคลือบ PVD และเคลือบเงาตกแต่งแบบไล่ระดับสี อีกทั้งยังเติมเต็มด้วยชุดเข็มบลูและหลักชั่วโมงที่บรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova ที่มอบแสงสีน้ำเงินอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์
Ref.215.30.40.20.03.002
ราคา 261,000 บาท
Ploprof
ด้วยความสามารถที่ทนทานแรงดันที่รุนแรงที่สุดในมหาสมุทร นาฬิกา Seamaster Professional 600 เรือนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “Ploprof” (มาจาก PLOngeur PROfessionnel – ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “นักดำน้ำระดับอาชีพ”) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยนวัตกรรมมากที่สุดเท่าที่มีมาของ Omega ด้วยกรรมวิธีอันชาญฉลาดในการติดตั้งกระจกนาฬิกาเข้ากับตัวเรือนแบบ mono Block อันทนทานทำให้ไม่ต้องติดตั้ง Helium Valve โดยนักสำรวจมหาสมุทร Jacques Cousteau และบริษัทวิจัยใต้น้ำ COMEX ต่างใช้งานนาฬิกา Ploprof ระหว่างการทดลองใต้ทะเลตั้งแต่ช่วงแรกที่นาฬิกาเปิดตัว
นาฬิกา Ploprof 2023 ผลิตจากวัสดุ O-MEGASTEEL และติดตั้งด้วยหน้าปัด Sunburst สี Summer Blue โดยแนวทางการออกแบบถูกหยิบยกมาจากนาฬิกา Omega รุ่นดั้งเดิมที่วางจำหน่ายในปี 1971 วงขอบตัวเรือนผลิตจาก Crystal Sapphire เพื่อเลียนแบบโมโนไลติก Monolytic Crystal ที่เสริมความแข็งแรงด้วยเคมีที่ถูกใช้ในนาฬิกายุคแรก Crystal แบบโปร่งใสที่เคลือบด้วยสีน้ำเงิน ด้านหลังยังเผยให้เห็นสเกลดำน้ำสีน้ำเงินอ่อนที่ด้านใต้ตัวเรือน Mono Block ยังรวมถึงเม็ดมะยมขันเกลียวอันโด่งดัง และระบบป้องกันปุ่มกดที่เป็นเอกลักษณ์ตรงตำแหน่ง 2 นาฬิกา ซึ่งในรุ่นนี้จะประดับด้วยวงแหวน Ceramic สีน้ำเงิน สายยางสีน้ำเงินแบบฉลุช่วยเติมเต็มสัมผัสแบบยุค 70 ในขณะที่นาฬิกาขับเคลื่อนด้วยกลไก Omega Co-Axial Master Chronometer Calibre 8912
Ref.227.32.55.21.03.001
ราคา 502,000 บาท
Ultra Deep
ในปี 2019 นาฬิกา Ultra Deep เรือนแรก ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์หลังสามารถลงไปยังจุดที่ลึกที่สุดในโลกได้ หลังจากการดำไปยังร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาที่เป็นการทุบสถิติโลก ซึ่ง Omega ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังคอลเลคชั่น 6000m ที่สะเทือนวงการเครื่องบอกเวลา สำหรับจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไป โดยระหว่างการพัฒนานั้น นาฬิกาถูกทดสอบในสภาพของมหาสมุทรจริง ซึ่งกันน้ำได้ถึง 6,000 เมตร (20,000 ฟุต) และผ่านข้อกำหนดของ ISO 6425:2018 ที่เป็นมาตรฐานของนาฬิกาสำหรับการดำน้ำแบบอิ่มตัว เช่นเดียวกับได้รับการรับรองจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สวิส (METAS)
ตัวเรือนขนาด 45.5 มิลลิเมตร มาพร้อมกับตัวเรือนและสายนาฬิกาที่สร้างขึ้นจากวัสดุสุดแข็งแกร่งอย่าง O-MEGASTEEL และหน้าปัดพร้อมลวดลายแบบพิเศษที่เป็นการให้เกียรติ Challenger Deep ตามแผนที่ที่ทางทีม Five Deeps สร้างขึ้นจากการกำหนดพิกัดโซนาร์เกือบหนึ่งล้านจุด ซึ่งมีการเคลือบ Lacquer เต็มไปจนทั่วหน้าปัด และซ่อนรายละเอียดที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยการซ่อนข้อความ “Omega Was Here” ที่ชี้ไปยังตัวเลขสถิติการดำน้ำลึก 10,935m ที่จะมองได้ก็ต่อเมื่อนำแสง UV ไปสาดส่องเท่านั้น
Ref.215.30.46.21.03.002
ราคา 458,000 บาท
นาฬิกาทุกรุ่นผลิตแบบ Limited Production
วางจำหน่าย กรกฎาคม 2023
รายละเอียดเพิ่มเติม omegawatches.com
Initial Thoughts
นาฬิกา Omega “Marine” สามารถผ่านการทดสอบที่ความลึก 73 เมตร ใต้ทะเลสาบเจนีวาได้สำเร็จ อีกทั้งยังผ่านการทดสอบ คุณสมบัติการกันน้ำได้สูงสุดถึง 135 เมตร ระหว่างการทดสอบความดันภายในห้องปฏิบัติการสำหรับวิจัยการผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมือง Neuchatel นับเป็นจุดเริ่มต้นอันยอดเยี่ยมที่ขีดเส้นทางให้ Omega รุดหน้าในการออกแบบนาฬิกาสำหรับใต้น้ำ โดยระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Omega ได้ส่งมอบนาฬิกามากกว่า 110,000 เรือน ให้กับหน่วยรบของกองทัพบก และหน่ววยรบของราชนาวีแห่งสหราชอาณาจักร โดยต่อมาในปี 1948 Omega ได้มีการเปิดตัวนาฬิกา “Seamaster” ที่มีต้นแบบมาจากนาฬิกาที่ถูกใช้ในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีความสามารถในการกันน้ำด้วยการใช้ปะเก็นยาง และถูกพัฒนามาเป็นนาฬิกาในตระกูล Seamaster ที่มีจุดเด่นในเรื่องของคุณสมบัติพิเศษในการกันน้ำตั้งแต่อดีตไปจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่นาฬิกาเรียบหรูไปจนถึงนาฬิกาดำน้ำลึกในระดับมืออาชีพ