F.P.Journe Novelties 2022 นาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์อินดี้สุดเรียบหรู

ผลงานสุดพิเศษแห่ง Classique Collection

ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของ Octa caliber เมื่อปี 2021 F.P.Journe ได้นำเสนอนาฬิกา Automatique Limited Series ที่มาพร้อมด้วยกลไก Brass ชุบ Rohdium และหน้าปัด Yellow Gold ขัดลวดลาย Satin จึงไม่น่าประหลาดใจนัก หากวันนี้นาฬิกา Automatuque จะได้ร่วมสมทบภายในคอลเลกชันปัจจุบัน ด้วยนาฬิกาเวอร์ชันใหม่ของตัวเรือนขนาด 40-42 มิลลิเมตร ที่ทำจาก Platinum หรือ Rose Gold 6N โดยยังคงผสมผสานระหว่างเส้นสายอันบริสุทธิ์กับสมรรถนะแห่งกลไก Octa 1300.3 automatic caliber

หน้าปัด White Gold  หรือ Rose Gold 5N กับการแสดงวันที่แบบ Big Date ที่นำเสนอความสามารถในการมองเห็นได้อย่างสูงสุด อันเป็นผลลัพธ์จากช่องหน้าต่างขนาด 4.7 x 2.6 มิลลิเมตร โดยบนด้านขวาของพื้นที่หน้าปัดนั้นประกอบไว้ด้วยการแสดงชั่วโมง, นาที และวินาทีบนหน้าปัดย่อยแบบเยื้องศูนย์กลาง สลักลวดลาย Gilloché พร้อมด้วยเม็ดมะยมแบบปุ่มลูกบิดที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้สมดุลรับกับตัวเรือน และช่วยในการปรับตั้งนาฬิกาได้อย่างสะดวกสบาย โดยทำงานร่วมไปกับเข็ม Blue Steel ทรงหยดน้ำ และวงแหวน Steel ขัดเงาขันสกรูเข้ากับหน้าปัด ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้นาฬิกา F.P.Journe มีความพิเศษไม่เหมือนใคร 

งานออกแบบอันเรียบง่ายคลาสสิกของนาฬิกา F.P.Journe  ยังสะท้อนถึงระดับสูงสุดของนวัตกรรมจักรกล โดยการทำงานของกลไก Octa 1300.3 automatic caliber ที่ผลิตขึ้นจาก Rose Gold 18K และนำเสนอระดับความเที่ยงตรงของการแสดงเวลาได้ตลอดช่วง 120-160 ชั่วโมง จากการขึ้นลานทิศทางเดียวของ F.P.Journe Rotor แบบเยื้องศูนย์ที่ผลิตจาก Rose Gold 5N 22K ร่วมกับ Self-locking ball bearing system ดังนั้นจึงสามารถมั่นใจได้ถึงการขึ้นลานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดของนาฬิกา ส่วนฝาหลังกระจก Spphire ขนาดใหญ่ โชว์งานฝีมือการตกแต่งอันงดงามประณีต เช่นเดียวกับ Gearing system ที่สามารถมองเห็นได้ผ่าน Bridge แบบ Open Work 

การผสมผสานนวัตกรรมเครื่องบอกเวลาชั้นสูงและเครื่องประดับอัญมณีจาก  Élégante 12 rows of diamonds

F.P.Journe นำเสนอนาฬิกา Élégante 12 rows of diamonds ในตัวเรือน 40 มม. พร้อมด้วยสายประดับเพชรใหม่ ออกแบบขึ้นสำหรับสุภาพสตรี ที่เวอร์ชันใหม่เหล่านี้สะท้อนถึงองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญของโรงงานการผลิต ซึ่งผสมผสานระหว่างนวัตกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา และความประณีตวิจิตรของเครื่องประดับอัญมณี ที่ประกอบด้วย 12 ข้อสาย ทำจาก Titanium และ Titalyt® ประดับด้วยเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัต 382 เม็ด รวม 3.23 กะรัต โดยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยส่วนของยางซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้ 8 เฉดสีให้เลือก ทั้ง สีขาว, น้ำเงินมิดไนท์บลู, แดงเบอร์กันดี, เทา, เหลือง, ดำ, ส้ม และชมพูกุหลาบ (powder rose) ซึ่งสามารถประกอบรับกับนาฬิกา เอเลแกนต์ (élégante) ขนาด 40 มม. รุ่นอื่นๆ ได้ทั้งหมด 

องค์ประกอบอันหลากหลายนี้ได้สร้างโฉมหน้าใหม่ให้กับนาฬิกา ทั้งหน้าปัด Sapphire ในเฉดสีขาวสำหรับเวอร์ชัน Titanium และสีดำสำหรับเวอร์ชัน Titalyt® พร้อมทั้งส่วนของ Steel ซึ่งนำมาติดยึดด้วยสกรูบนหน้าปัด ขณะที่สัมผัสของการตกแต่งสำหรับคอลเลกชันสุภาพสตรีนี้ เอฟ.พี.ฌูร์น ได้เลือกตัวเรือนของ Flat Tortue® มาใช้ ด้วยงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ 

ภายในทุกชิ้นส่วนจักรกลทั้งหมดของกลไกนี้ผลิตขึ้นภายในโรงงาน F.P.Journe Manufacture ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านความล้ำเลิศ ขณะที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นั้นผลิตขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วย Microprocessor ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับนาฬิการุ่นนี้ และสำรองพลังงานได้นานกว่า 8 ปี โดยหลังจากไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 35 นาที นาฬิกาจะสลับไปสู่ Standby mode เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเข็มนาฬิกาจะหยุดหมุน และทันทีที่ตัวจับการเคลื่อนไหว นาฬิกาจะปรับตั้งตนเองโดยอัตโนมัติไปยังเวลาที่ถูกต้องในทิศทางที่สั้นที่สุด ไม่ว่าจะในทิศตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา

บทส่งท้ายของนาฬิกา Trilogy ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน กับ Vagabondage I Gold 

ในปี 1997 François-Paul Journe ได้สร้างสรรค์นาฬิกาเรือนพิเศษให้กับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งนาฬิกาเรือนนั้นติดตั้งไว้ด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติเฉพาะหนึ่งเดียวและบรรจุภายในตัวเรือน Yellow Gold ทรงกลม โดยตั้งชื่อว่า Carpediem ที่มาพร้อมหน้าปัดแสดงชั่วโมงแบบหมุนกวาดไปรอบๆ Balance wheel ณ ศูนย์กลางแบบเปิดให้สามารถมองเห็นได้ โดยยังเป็นนาฬิกา Prototype เท่านั้น  และต่อมาในปี 2003 François-Paul Journe ได้รับการติดต่อโดย Antiquorum ซึ่งเตรียมจัดงานประมูลการกุศลในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยมอบรายได้สมทบทุนให้กับ ICM Foundation และต้องการนาฬิกาเพียงหนึ่งเดียวในโลก แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเพียง 6 เดือน เขาจึงตัดสินใจทำงานใหม่อีกครั้งกับนาฬิก Prototype ซึ่งในที่สุดก็มีถึงนาฬิกา 3 เรือน ในตัวเรือน Rose Gold, Yellow Gold และ White Gold และใช้กลไกที่ผลิตจาก Brass ในชื่อ ‘Vagabondage’ 

โดยการประมูลครั้งนั้นได้รับความสำเร็จอย่างมาก ในขณะที่ François-Paul Journe ก็ได้รับทั้งเสียงตอบรับและเสียงเรียกร้องมากมาย ซึ่งรวมไปถึงการนำนาฬิการุ่นนี้มาอยู่ในสายการผลิตของเขา และเพื่อทำให้สามารถครอบครองได้โดยกลุ่มนักสะสมในวงกว้างมากขึ้น เขาจึงเห็นด้วยที่จะผลิตนาฬิการุ่นนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า Vagabondage I – Calibre 1504 ในปี 2007, Vagabondage II – Calibre 1509 ในปี 2010 และ  Vagabondage III) – Calibre 1514 ในปี 2017

เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับนาฬิกา Trilogy ในตัวเรือนทอง F.P.Journe จึงนำเสนอเวอร์ชันสุดท้ายนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นการถอดแบบทั้งหมดมาจาก Vagabondage I Platinum ที่เปิดตัวแนะนำในปี ค.ศ. 2004 แต่เป็นการเติมเต็มช่องว่างในช่วงเกือบ 18 ปีที่ผ่านมา โดย Vagabondage I Gold มาพร้อมกับกลไกพัฒนาปรับปรุงใหม่ Calibre 1504.2 ซึ่งยังคงเป็นกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ และตัวเรือนขนาด 45.2 x 37.5 มิลลิเมตร 

เหมือนดั่งที่ François-Paul Journe ได้กล่าวว่า “นาฬิกา Vagabondage รุ่นแรกอาจนับได้ว่าเป็นรุ่น Prototype ณ เวลานั้น ในวันนี้ เราจึงมีประสบการณ์ที่จะสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่า กับกลไกที่เชื่อถือได้มากขึ้น และเป็นกลไกที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับความพยายามแรก นั่นคือ Calibre 1504.2”