ผลงานสุดพิเศษแห่ง Classique Collection
ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของ Octa caliber เมื่อปี 2021 F.P.Journe ได้นำเสนอนาฬิกา Automatique Limited Series ที่มาพร้อมด้วยกลไก Brass ชุบ Rohdium และหน้าปัด Yellow Gold ขัดลวดลาย Satin จึงไม่น่าประหลาดใจนัก หากวันนี้นาฬิกา Automatuque จะได้ร่วมสมทบภายในคอลเลกชันปัจจุบัน ด้วยนาฬิกาเวอร์ชันใหม่ของตัวเรือนขนาด 40-42 มิลลิเมตร ที่ทำจาก Platinum หรือ Rose Gold 6N โดยยังคงผสมผสานระหว่างเส้นสายอันบริสุทธิ์กับสมรรถนะแห่งกลไก Octa 1300.3 automatic caliber
หน้าปัด White Gold หรือ Rose Gold 5N กับการแสดงวันที่แบบ Big Date ที่นำเสนอความสามารถในการมองเห็นได้อย่างสูงสุด อันเป็นผลลัพธ์จากช่องหน้าต่างขนาด 4.7 x 2.6 มิลลิเมตร โดยบนด้านขวาของพื้นที่หน้าปัดนั้นประกอบไว้ด้วยการแสดงชั่วโมง, นาที และวินาทีบนหน้าปัดย่อยแบบเยื้องศูนย์กลาง สลักลวดลาย Gilloché พร้อมด้วยเม็ดมะยมแบบปุ่มลูกบิดที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้สมดุลรับกับตัวเรือน และช่วยในการปรับตั้งนาฬิกาได้อย่างสะดวกสบาย โดยทำงานร่วมไปกับเข็ม Blue Steel ทรงหยดน้ำ และวงแหวน Steel ขัดเงาขันสกรูเข้ากับหน้าปัด ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้นาฬิกา F.P.Journe มีความพิเศษไม่เหมือนใคร
งานออกแบบอันเรียบง่ายคลาสสิกของนาฬิกา F.P.Journe ยังสะท้อนถึงระดับสูงสุดของนวัตกรรมจักรกล โดยการทำงานของกลไก Octa 1300.3 automatic caliber ที่ผลิตขึ้นจาก Rose Gold 18K และนำเสนอระดับความเที่ยงตรงของการแสดงเวลาได้ตลอดช่วง 120-160 ชั่วโมง จากการขึ้นลานทิศทางเดียวของ F.P.Journe Rotor แบบเยื้องศูนย์ที่ผลิตจาก Rose Gold 5N 22K ร่วมกับ Self-locking ball bearing system ดังนั้นจึงสามารถมั่นใจได้ถึงการขึ้นลานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดของนาฬิกา ส่วนฝาหลังกระจก Spphire ขนาดใหญ่ โชว์งานฝีมือการตกแต่งอันงดงามประณีต เช่นเดียวกับ Gearing system ที่สามารถมองเห็นได้ผ่าน Bridge แบบ Open Work
การผสมผสานนวัตกรรมเครื่องบอกเวลาชั้นสูงและเครื่องประดับอัญมณีจาก Élégante 12 rows of diamonds
F.P.Journe นำเสนอนาฬิกา Élégante 12 rows of diamonds ในตัวเรือน 40 มม. พร้อมด้วยสายประดับเพชรใหม่ ออกแบบขึ้นสำหรับสุภาพสตรี ที่เวอร์ชันใหม่เหล่านี้สะท้อนถึงองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญของโรงงานการผลิต ซึ่งผสมผสานระหว่างนวัตกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา และความประณีตวิจิตรของเครื่องประดับอัญมณี ที่ประกอบด้วย 12 ข้อสาย ทำจาก Titanium และ Titalyt® ประดับด้วยเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัต 382 เม็ด รวม 3.23 กะรัต โดยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยส่วนของยางซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้ 8 เฉดสีให้เลือก ทั้ง สีขาว, น้ำเงินมิดไนท์บลู, แดงเบอร์กันดี, เทา, เหลือง, ดำ, ส้ม และชมพูกุหลาบ (powder rose) ซึ่งสามารถประกอบรับกับนาฬิกา เอเลแกนต์ (élégante) ขนาด 40 มม. รุ่นอื่นๆ ได้ทั้งหมด
องค์ประกอบอันหลากหลายนี้ได้สร้างโฉมหน้าใหม่ให้กับนาฬิกา ทั้งหน้าปัด Sapphire ในเฉดสีขาวสำหรับเวอร์ชัน Titanium และสีดำสำหรับเวอร์ชัน Titalyt® พร้อมทั้งส่วนของ Steel ซึ่งนำมาติดยึดด้วยสกรูบนหน้าปัด ขณะที่สัมผัสของการตกแต่งสำหรับคอลเลกชันสุภาพสตรีนี้ เอฟ.พี.ฌูร์น ได้เลือกตัวเรือนของ Flat Tortue® มาใช้ ด้วยงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์
ภายในทุกชิ้นส่วนจักรกลทั้งหมดของกลไกนี้ผลิตขึ้นภายในโรงงาน F.P.Journe Manufacture ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านความล้ำเลิศ ขณะที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นั้นผลิตขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วย Microprocessor ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับนาฬิการุ่นนี้ และสำรองพลังงานได้นานกว่า 8 ปี โดยหลังจากไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 35 นาที นาฬิกาจะสลับไปสู่ Standby mode เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเข็มนาฬิกาจะหยุดหมุน และทันทีที่ตัวจับการเคลื่อนไหว นาฬิกาจะปรับตั้งตนเองโดยอัตโนมัติไปยังเวลาที่ถูกต้องในทิศทางที่สั้นที่สุด ไม่ว่าจะในทิศตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
บทส่งท้ายของนาฬิกา Trilogy ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน กับ Vagabondage I Gold
ในปี 1997 François-Paul Journe ได้สร้างสรรค์นาฬิกาเรือนพิเศษให้กับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งนาฬิกาเรือนนั้นติดตั้งไว้ด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติเฉพาะหนึ่งเดียวและบรรจุภายในตัวเรือน Yellow Gold ทรงกลม โดยตั้งชื่อว่า Carpediem ที่มาพร้อมหน้าปัดแสดงชั่วโมงแบบหมุนกวาดไปรอบๆ Balance wheel ณ ศูนย์กลางแบบเปิดให้สามารถมองเห็นได้ โดยยังเป็นนาฬิกา Prototype เท่านั้น และต่อมาในปี 2003 François-Paul Journe ได้รับการติดต่อโดย Antiquorum ซึ่งเตรียมจัดงานประมูลการกุศลในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยมอบรายได้สมทบทุนให้กับ ICM Foundation และต้องการนาฬิกาเพียงหนึ่งเดียวในโลก แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเพียง 6 เดือน เขาจึงตัดสินใจทำงานใหม่อีกครั้งกับนาฬิก Prototype ซึ่งในที่สุดก็มีถึงนาฬิกา 3 เรือน ในตัวเรือน Rose Gold, Yellow Gold และ White Gold และใช้กลไกที่ผลิตจาก Brass ในชื่อ ‘Vagabondage’
โดยการประมูลครั้งนั้นได้รับความสำเร็จอย่างมาก ในขณะที่ François-Paul Journe ก็ได้รับทั้งเสียงตอบรับและเสียงเรียกร้องมากมาย ซึ่งรวมไปถึงการนำนาฬิการุ่นนี้มาอยู่ในสายการผลิตของเขา และเพื่อทำให้สามารถครอบครองได้โดยกลุ่มนักสะสมในวงกว้างมากขึ้น เขาจึงเห็นด้วยที่จะผลิตนาฬิการุ่นนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า Vagabondage I – Calibre 1504 ในปี 2007, Vagabondage II – Calibre 1509 ในปี 2010 และ Vagabondage III) – Calibre 1514 ในปี 2017
เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับนาฬิกา Trilogy ในตัวเรือนทอง F.P.Journe จึงนำเสนอเวอร์ชันสุดท้ายนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นการถอดแบบทั้งหมดมาจาก Vagabondage I Platinum ที่เปิดตัวแนะนำในปี ค.ศ. 2004 แต่เป็นการเติมเต็มช่องว่างในช่วงเกือบ 18 ปีที่ผ่านมา โดย Vagabondage I Gold มาพร้อมกับกลไกพัฒนาปรับปรุงใหม่ Calibre 1504.2 ซึ่งยังคงเป็นกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ และตัวเรือนขนาด 45.2 x 37.5 มิลลิเมตร
เหมือนดั่งที่ François-Paul Journe ได้กล่าวว่า “นาฬิกา Vagabondage รุ่นแรกอาจนับได้ว่าเป็นรุ่น Prototype ณ เวลานั้น ในวันนี้ เราจึงมีประสบการณ์ที่จะสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่า กับกลไกที่เชื่อถือได้มากขึ้น และเป็นกลไกที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับความพยายามแรก นั่นคือ Calibre 1504.2”