Words: Artit Polsukcharoen
นี่เป็นครั้งแรกของผมสำหรับการเดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และโรงงานของ Audemars Piguet แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่และยิ่งใหญ่ระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์ต่อเนื่องยาวมากว่า 140 ปี ที่ตั้งอยู่ใน Le Brassus หมู่บ้านอันสวยงามแห่งเมือง Vallée de Joux ประเทศ Switzerland ซึ่งทาง Audemars Piguet ได้เชิญสื่อมวลชนกว่า 50 ชีวิต ที่เดินทางมาจากทั่วโลก เพื่อมาพบปะกับผู้บริหารระดับสูงรวมทั้งทีมผู้ออกแบบนาฬิกา Audemars Piguet ในงาน AP Social Club 2023 และได้สัมผัสนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่จะออกวางจำหน่ายในปี 2023
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ผมได้เข้าพักที่โรงแรม Hôtel des Horlogers ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานดั้งเดิมของ Audemars Piguet และเป็นสถานที่พักของแขกผู้มาเยือน โดยโรงแรมแห่งนี้สร้างขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้เป็นที่พักที่มีความสวยงาม สะดวกสบาย และทันสมัย ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ซึ่งบอกได้เลยว่า ผมสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่ AP ตั้งใจสร้างขึ้นมาได้อย่างลึกซึ้ง หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าพักที่นี่ด้วยตนเอง และได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามในช่วงฤดูหนาวที่ Le Brasus ซึ่งบอกได้เลยว่า เป็นโรงแรมที่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่มมาก ๆ เลยครับ สำหรับถ้าใครที่จะเดินทางมาที่ Le Brassus และอยากเข้าพักที่นี่ สามารถสอบถามรายละเอียดการจองห้องพักได้ที่ hoteldeshorlogers.com
แล้วก็มาถึงจุดเริ่มต้นของบ้านเกิดของ Audemars Piguet ซี่งเป็นที่ตั้งของอาคารแห่งแรกของแบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1868 ซึ่งเป็นที่ตั้งเวิร์คช๊อปของ Jules Louis Audemars และ Edward Auguste Piguet สองช่างนาฬิกาผู้ก่อตั้งแบรนด์ โดยอาคารเก่าแก่แห่งนี้ ที่มีอายุเกือบ 140 ปี ได้ถูกบูรณะให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ โดยเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง Swiss architectural office CCHE และ Heritage Department ของ Audemrs Piguet ที่ร่วมกับช่างฝีมือในท้องถิ่นอีกด้วย โดยถูกอออกแบบให้เชื่อมโยงกับ Musée Atelier Audemars Piguet มิวเซียมแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันได้อย่างแนบเนียน
มิวเซียมแห่งใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมร่วมสมัย โดยมีการจัดพื้นที่แสดงนาฬิการุ่นต่าง ๆ กว่า 300 เรือน ที่ถูกขึ้นทะเบียนเอาไว้ตั้งแต่ปี 1882 โดยนาฬิกาทั้งหมดถูกจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการที่มีความเรียบหรูเหนือการเวลาภายในอาคารทรงรูปทรงก้นหอย ที่ผู้เข้าชมจะต้องเดินวนไปตามทางโค้งซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินทางผ่านกาลเวลาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และผมยังได้มีโอกาสเห็นห้องทำงานช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในแผนกการฟื้นฟูนาฬิกาโบราณให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพมาให้ชมกันได้นะครับ เนื่องจากเป็นพื้นที่พิเศษที่ถูกสงวนเอาไว้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น
นอกจากพื้นที่จัดแสดงนาฬิกาแล้ว ในมิวเซียมแห่งนี้ยังมีพื้นที่การจัดแสดงกลไกพิเศษที่ถูกสร้างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อจำลองให้เห็นการทำงานเป็นกลไกที่สามารถเคลื่อนไหวได้แบบสมจริง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เข้าใจถึงหลักการทำงานของกลไกจักรกลอันซับซ้อนที่มีขนาดเล็กกว่าที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ซึ่งในโซนนี้เป็นอะไรที่สนุกสนานและประทับใจมากสำหรับคนรักนาฬิกาอย่างผมเลยครับ เพราะได้รับเกียรติจากทางช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์มาอธิบายายอย่างเป็นกันเอง และผมยังมีโอกาสได้ซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับกลไกแต่ละแบบ ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้ใหม่มากขึ้นเยอะเลย
โดยคณะของพวกเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากทีมงาน และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญของมิวเซียมในการบรรยายและให้ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลอย่างเป็นกันเอง ซึ่งทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ความเป็นมาของแบรนด์ Audemars Piguet ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น สภาพภูมิศาสตร์และทำเลที่ตั้งของโรงงานใน Le Brassus รวมไปถึงแนวคิดในการคิดค้นรูปแบบของตัวเรือนและกลไกของนาฬิกาในแต่ละยุคแต่ละสมัย และผมยังได้มีโอกาสได้ทดลองขัดแต่งลวดลาย Satin บนผิวของขอบหน้าปัดแปดเหลี่ยมสุดคลาสสิกของนาฬิกา ‘Royal Oak’ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ช่างนาฬิกาของ Audemars Piguet ใช้ผลิตนาฬิกาเรือนจริง บอกได้เลยนะครับว่า ไม่ง่ายเลยจริง ๆ สำหรับมือใหม่อย่างผมที่ได้ลงมือทำเป็นครั้งแรก และทางมิวเซียมก็ได้ให้ผลงานของทุกคนกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยนะครับ
โดยมิวเซียมแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติในแต่ละช่วงฤดูอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งในการเยี่ยมชมครั้งนี้ตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี จึงทำให้บรรยากาศรอบ ๆ มิวเซียมจึงเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับคณะผู้เข้าชมมิวเซียมในครั้งนี้อย่างมาก ทำให้นึกอิจฉาช่างนาฬิกาของ Audemars Piguet ที่ได้มีโอกาสได้นั่งทำงานที่ตัวเองรักในบรรยากาศที่สวยงาม ซึ่งคงมีความสุขมากมายจริง ๆ นะครับ เพราะขนาดเราได้มาเพียงไม่กี่วันยังมีความสุขขนาดนี้
นอกจากนี้ ผมยังได้เดินทางไปยังโรงงานแห่งใหม่ของ Audemars Piguet ที่เมือง Le Locle ซึ่งเป็นโรงงานที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย เน้นความปลอดโปร่งของช่องแสงธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางมากถึง 10,400 ตารางเมตร ซึ่งโรงงานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในแผนกต่าง ๆ ทั้งการออกแบบ วิจัยและพัฒนา รวมทั้งเครื่องมืออันทันสมัยที่ถูกนำมาใช้ผลิตนาฬิการุ่นใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำภาพด้านในมาให้ทุกคนได้ชมกันได้นะครับ เนื่องจากเป็นพื้นที่เฉพาะของทางโรงงานที่ต้องได้รับการอนุญาตก่อนเท่านั้นครับ
แล้วก็มาถึงนาฬิกาไฮไลท์ของปี 2023 ที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสเรือนจริง โดยเริ่มต้นที่นาฬิกา Code 11.59 รุ่นตัวเรือน Stainless Steel ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาเรือนเหล็กที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนอกจากวัสดุตัวเรือนแล้ว นาฬิการุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับลวดลายคลื่นบนหน้าปัดที่โดดเด่นและแตกต่างจากรุ่นตัวเรือนทองคำ โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นบอกเวลาแบบ 3 เข็มและรุ่น Chronograph ซึ่งเป็นนาฬิการุ่นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกเรือนจากงาน AP Social Club 2023
ต่อเนื่องด้วยนาฬิกา Royal Oak Self Winding 37mm ที่มาพร้อมกับหน้าปัดหิน Turquoise แท้ ๆ ที่มีลวดลายสวยงามตามธรรมขาติบนผิวสีฟ้าอมเขียวอันโดดเด่น ที่ตัดกับสีของตัวเรือนและสาย Yellow Gold 18K ในขนาด 37 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นคู่สีที่ลงตัวมาก ๆ และด้วยตัวเรือนที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป และสายนาฬิกาแบบ Integrated ที่โค้งรับกับข้อมือมาก นาฬิกาเรือนนี้จึงเหมาะสมและลงตัวมาก ๆ สำหรับทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ข้อมือขนาดย่อมแบบผมจริง ๆ
ยังไม่จบสำหรับคอลเลกชั่น Royal Oak ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปี ไปหมาด ๆ เมื่อปีที่แล้ว ด้วยนาฬิกา Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin 39mm ตัวเรือน White Gold 18K ที่มาพร้อมกับหน้าปัดสีน้ำเงินที่ผ่านการแกะสลักลวดลาย “Grainy Effect” แบบใหม่ ที่โดดเด่นและแตกต่างกับลวดลาย “Petite Tapisserie” สุดคลาสสิกของ Royal Oak รุ่น Original จากปี 1972 และขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic In-House Cal.7121 ที่ใช้เวลาในการพัฒนาถึง 5 ปี จนได้กลไกที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากถึง 268 ชิ้น แต่มีความหนาเพียง 3.2 มิลลิเมตร เท่านั้น
ปีนี้เป็นอีกปีที่สำคัญสำหรับคอลเลกชั่น Royal Oak Offshore เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ทาง AP จึงได้เปิดตัวนาฬิกา Royal Oak Offshore Selfwinding Flying Tourbillon Flyback Chronograph ‘Black and Green’ ที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมใหม่ภายใต้รูปลักษณ์ของดีไซน์ตัวเรือนภายนอกสุดล้ำ ที่ผลิตจากวัสดุ Ceramic สีดำสนิท ตัดกับขอบหน้าปัด Skeleton ที่ผลิตจากวัสดุ Anodize Aluminium สีเขียว และขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic Chronograph ที่มีความซับซ้อนในระดับ Grand Complication ด้วยฟังก์ชั่นจับเวลาแบบ Flyback และกลไก Flying Tourbillon บนหน้าปัด โดยผลิตในแบบ Limited Edition เพียง 100 เรือน ในโลกเท่านั้น
อีกหนึ่งในฟังก์ชั่นที่บรรดาคนรักนาฬิกาและนักสะสมทั่วโลกใฝ่ฝันถึง นั่นคือ Minute Repeater ได้นำกลไกไขลาน Calibre 2953 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Supersonnerie ที่ให้โทนเสียงที่คมชัดเช่นเดียวกับนาฬิกาพกแบบดั้งเดิมของ AP ด้วยชิ้นส่วนฆ้องที่ถูกติดตั้งบนกลไกแบบใหม่ เพื่อขจัดเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการ โดยใช้เวลายาวนานถึง 8 ปี ในการวิจัยและพัฒนาซึ่งถูกจดสิทธิบัตรโดย Audemars Piguet ไว้แล้ว ซึ่งทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในตัวเรือนของนาฬิกา Code 11.59 Minute Repeater Supersonnerie วัสดุ Pink Gold สลับกับ Ceramic สีดำทรง 8 เหลี่ยม ที่มาพร้อมกับหน้าปัด Skeleton วัสดุ Sapphire แบบ Smoked
ปิดท้ายด้วยนาฬิกา Code 11.59 Universelle กับที่สุดแห่งฟังก์ชั่นในระดับ Ultra Complication ด้วยแนวคิดจากนาฬิกาพก Universelle จากปี 1899 ที่ได้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์และพัฒนามาเป็นนาฬิกาข้อมือในคอลเลกชั่น Code 11.59 ที่มีรูปแบบร่วมสมัย ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 1000 ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนจำนวน 1,140 ชิ้น ในความหนาเพียง 9.1 มิลลิเมตร ขึ้นลานอัตโนมัติด้วย Semi-peripheral Rotor โดยมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานมากถึง 23 รายการ ในตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร ที่สามารถสวมใส่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งนับเป็นสุดยอดนวัตกรรมเรือนเวลาแห่งยุคอย่างแท้จริงจาก Audemars Piguet
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณแบรนด์ Audemars Piguet เป็นอย่างสูง ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเปิดประสบการณ์ใหม่ และได้ทำความรู้จักแบรนด์ Audemars Piguet มากขึ้น รวมถึงการได้เห็นขั้นตอนการทำงานจริงของช่างฝีมือในโรงงานผลิตนาฬิกา และมีโอกาสพบปะพูดคุยกับทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหารอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้ผมได้เห็นเบื้องหลังของการประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์ด้วยตาตัวเอง ยิ่งทำให้ผมหลงรักนาฬิกา Audemar Piguet มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
สำหรับใครที่อยากจะรู้จัก Audemars Piguet ให้มากขึ้น อยากชวนให้ไปลองสัมผัสนาฬิกาเรือนจริงในบรรยากาศอบอุ่นและสะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน ได้ที่ AP House Bangkok ชั้น 4 อาคารเกษรทาวเวอร์ กรุงเทพฯ โดยเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 – 20.00 น. และสามารถนัดหมายล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-108-6305 หรือ Email: aphouse.bangkok@audemarspiguet.com