Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph 43mm Black Ceramic and Gold โฉมใหม่ในสไตล์เรียบหรู

การเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี ‘Royal Oak Offshore’ ยังคงดำเนินต่อไป จนมาถึงคิวของคอลเลกชั่น Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph 43mm ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 โดยมาพร้อมกับกลไก Automatic Chronograph In-House Cal.4409 ที่วางหน้าปัดย่อยแบบ Tri-Compax ไว้ตรงตำแหน่ง 3-6-9 นาฬิกา ซึ่งถูกเริ่มใช้ในรุ่น [Re]master01 Selfwinding Chronograph นาฬิการุ่นพิเศษสไตล์ย้อนยุคของนาฬิกา Audemars Piguet Chronograph Ref.5133 ยุค 1940s 

สำหรับจุดเด่นแรกของนาฬิการุ่นนี้คือ หน้าปัดสีดำที่สลักลวดลาย Méga Tapisserie สลับกับหน้าปัดย่อยแบบ Tri-Compax สีดำที่ล้อมกรอบด้วยสีทองเช่นเดียวกับสเกลวินาทีที่ขอบหน้าปัด ชุดเข็ม, หลักชั่วโมง และโลโก้ ‘AP’ ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา ที่ผลิตจากวัสดุ Yellow Gold 18K มีหน้าต่างวันที่สีดำตรงตำแหน่ง 4.30 นาฬิกา และใช้กระจกหน้าปัด Sapphire เคลือบตัดแสงสะท้อน ขอบหน้าปัด 8 เหลี่ยม ถูกยึดกับตัวเรือน Ceramic สีดำ ขนาด 43 มิลลิเมตร หนา 14.4 มิลลิเมตร ด้วยสกรู 8 ตัว สลับกับ Crown Guard, โลโก้ AP บนเม็ดมะยม ที่ผลิตจากวัสดุ Yellow Gold 18K 

ฝาหลัง Yellow Gold 18K แบบโปร่งใส กันน้ำลึก 100 เมตร โชว์การทำงานของกลไก  Automatic Chronograph In-House Cal.4409 ความถี่  28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงาน 70 ชั่วโมง จับเวลาต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง ที่ควบคุมการทำงานด้วยกลไก Column Wheel พร้อมฟังก์ชั่น Flyback Chronograph โดยนาฬิกามาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีดำเย็บด้ายสีทองกับ Endlink และ Pin Buckle Yellow Gold 18K ที่สามารถเปลี่ยนสลับกับสายยางสีดำมาให้ในเซตได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ด้วยระบบ Quick Release จากการกดปุ่มเพียงด้านละ 2 ครั้งเท่านั้น 

Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph 43mm Black Ceramic and Gold

Ref.26420CE.OO.A127CR.01
ราคา 2,262,900 บาท
วางจำหน่าย ภายในปี 2023
รายละเอียดเพิ่มเติม audemarspiguet.com

Initial Thoughts 

สำหรับวัสดุ Ceramic ที่ AP เลือกมาใช้ในการผลิตตัวเรือนและชิ้นส่วนของนาฬิกาตัวเอง ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่มีความซับซ้อนและการใช้เทคนิคการตกแต่งด้วยมือสุดประณีตหลายขั้นตอน เริ่มต้นจากผงเซอร์โคเนียมออกไซด์ (ZrO2) จะถูกนำมารวมเข้ากับสารยึดเกาะในอัตราส่วนลับเฉพาะของบริษัท หลังผ่านการเผาผนึกที่อุณหภูมิประมาณ 1,000 องศาเซลเซียส ในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะได้เป็นเซรามิกที่มีสีกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้สามารถขัดเงาและขัดแต่งลวดลาย Satin ได้เรียบเนียนเช่นเดียวกับบนผิวทองคำเลยทีเดียว