เพื่อฉลองการครบรอบ 40 ปี G-SHOCK คุณคิคุโอะ อิเบะ นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกนาฬิกา ในฐานะ Father of G-Shock หรือผู้ให้กำเนิดนาฬิกา G-Shock ได้บินลัดฟ้าจากญี่ปุ่นมาถึงเมืองไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพื่อมาร่วมเปิดตัวเรือนเวลาแห่งจักรพรรดิ G-SHOCK MRG-GASSAN (MRG-B2000GA) งานหัตถศิลป์ที่น่าหลงใหลอันได้รับแรงบันดาลใจมากจากการตีดาบญี่ปุ่นแห่งตระกูล “กัสซัง” นักตีดาบจักรพรรดิ ตามมาด้วย ซีรีส์ G-SHOCK Flare Red Limited Edition สุดร้อนแรงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเปลวเพลิงสุริยะ ถ่ายทอดเรื่องราวสู่รุ่น MTG-B3000FR และ Mud Master GWG-B2040FR และอีกรุ่นพิเศษที่บ่งบอกถึงความเป็น The Legend คือ G-SHOCK x Eric Haze Collaboration Full Metal GMW-B5000EH บอกเล่าที่มาแห่ง 40th Anniversary Logo พร้อมดีไซน์ซิกเนเจอร์เฉพาะตัวของคุณ Eric Haze ผ่าน DNA “Absolute Toughness
G-SHOCK 40th ANNIVERSARY MRG-GASSAN (MRG-B2000GA)
Casio ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ “ซาดาโนบุ กัสซัง” หนึ่งในนักตีดาบชั้นเลิศแห่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีของ G-SHOCK โดยเรือนเวลาลิมิเต็ดเอดิชั่นนี้เป็นอีกรุ่นจากซีรีส์ MRG ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับเรือธงจาก G-SHOCK ด้วยการนำเสนอที่ผสมผสานความแข็งแกร่งและความงดงามพร้อมคุณสมบัติอันหลากหลาย โดยรวบรวมเทคนิคหัตถศิลป์ของการทำดาบญี่ปุ่นไว้ในการออกแบบอย่างลงตัว
หน้าปัดลวดลายเพชร ฮิชิมากิ-การะ การผสมผสานโลกทัศน์แห่งดาบญี่ปุ่น
ลวดลายเพชรแบบดั้งเดิม ฮิชิมากิ-การะ ที่มักพบเห็นได้บนด้ามจับของดาบญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เป็นลวดลายของพื้นผิวหน้าปัด ในขณะที่ดีไซน์การตกแต่งที่ชวนให้นึกถึงพัดแบบพับได้ถูกกระทำลงบนบริเวณขอบหน้าปัด ทั้งยังเพิ่มเติมดีไซน์ต่าง ๆ เข้าไปอีก ตั้งแต่หลักชั่วโมงที่ชวนให้นึกถึงความโค้งของใบดาบไปจนถึงเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีที่มีลักษณะการตัดเจียรแบบหลายเหลี่ยมมุม ทั้งหมดนี้ทำให้นาฬิกามีความโดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ปรากฎความซับซ้อนจนถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุด
กรอบไทเทเนียมนวัตกรรมสร้างลวดลายใบดาบ อะยาสุงิ-ฮาดะ แห่งตระกูลกัสซัง
กัสซัง นักตีดาบที่มีตำนานกล่าวขานยาวนานถึง 800 ปี ดาบที่พวกเขาสร้างขึ้นคือลวดลายพิเศษ ที่เรียกว่า อะยาสุงิ ซึ่งทำขึ้นในขั้นตอนการอบชุบเหล็กใบดาบ ลวดลายที่สวยงามชวนให้นึกถึงเกลียวคลื่นที่สวยงามปรากฎให้เห็นบนกรอบตัวเรือนโดยเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตและตกแต่ง ผสมผสานของไทเทเนียมบริสุทธิ์และไทเทเนียมชนิดพิเศษ Ti64 เกิดขึ้นจากการนำไปหลอมแล้วทำการตกผลึกใหม่อีกครั้ง พร้อมการเคลือบอาร์คไอพีสีฟ้าเทาสร้างความโดดเด่น สุขุมให้กับเรือนเวลาอันแข็งแกร่งนี้
สายที่ได้รับการตกแต่งแบบ เคโช ยาสุริ และการสลักจารึกจิตวิญญาณของนักตีดาบ
เคโช ยาสุริ คือ การตกแต่งด้วยลวดลายตะไบที่มักใช้กับส่วนที่เป็นด้ามจับของดาบญี่ปุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้ดาบหลุดออกจากด้ามจับ โดยเรือนเวลาแต่ละเรือนจะการสลักลวดลายที่เรียกว่า ยาสุริ-เมะ แบบดั้งเดิมของกัสซัง ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของสายนาฬิกาข้อกลางโดยเป็นงานทำมือของ ซาดาโนบุ กัสซัง สลักจารึกคำว่า “鍛” และ “錬” บ่งบอกถึงความทุ่มเทของตระกูลกัสซังที่มีให้กับการตีดาบ ด้วยงานหัตถศิลป์นี้ทำให้นาฬิกาแต่ละเรือนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โครงสร้างป้องกันชนิดพิเศษ และเทคโนโลยี Bluetooth
โครงสร้างป้องกันแรงกระแทกให้กับเม็ดมะยมและปุ่มกด เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความทนทานและความสะดวกในการใช้งานแม้ตัวเรือนจะถูกลดขนาดลง แอลฟาเจล (αGEL®) ถูกบรรจุในฝาครอบของเม็ดมะยมเพื่อช่วยในการดูดซับแรงกระแทก โมดูลบอกเวลาที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์กับ Bluetooth® และการควบคุมด้วยคลื่นวิทยุสำหรับความถูกต้องและความเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น ตัวเรืองแสงโดดเด่น (ไฟ LED ความสว่างสูง) รองรับการดูนาฬิกาในที่มืด และกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและมีความโปร่งใสสูงมาพร้อมกับการเคลือบสารกันแสงสะท้อน โดยนาฬิการุ่นนี้ วางจำหน่ายในงาน Central International Watch Fair 2022 ในราคา 300,000 บาท
G-SHOCK 40TH ANNIVERSARY FLARE RED LIMITED EDITION
ฉลองการครบรอบ 40 ปีของการเปิดตัว G-SHOCK ในปี ค.ศ.1983 โดยนาฬิกาทั้งสองเรือนได้รับแรงบันดาลใจจากเปลวเพลิงสุริยะ ผสมผสานเข้ากับสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเทคนิคพิเศษที่มีขึ้นกรอบแบบหลายชั้นของคาร์บอนและเส้นใยแก้วสี ร่วมกับแผ่นใยแก้วเรืองแสง ทำให้นาฬิกาสามารถเรืองแสงในที่มืดได้อย่างสวยงามและน่าทึ่ง
มาเริ่มกันที่เรือนแรกภายใต้คอนเซ็ปต์ G-SHOCK 40th ANNIVERSARY FLARE RED คือ G-SHOCK MTG-B3000FR จากตระกูล G-SHOCK Premium ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการผสมผสานวัสดุ โลหะ คาร์บอน และเรซิน เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้นาฬิกามีความแข็งแรงและทนทานมากยิ่งขึ้น โดยนาฬิการุ่นนี้จะโดดเด่นด้วยลวดลายบนหน้าปัดที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกใส ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเปลวไฟอันเจิดจ้า ทำให้หน้าปัดมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานเข้ากับสีแดงของแบรนด์ได้อย่างลงตัว มาพร้อมกรอบหน้าปัดสุดพิเศษหลากสีที่รังสรรค์ขึ้นจากคาร์บอนและเส้นใยแก้วสีร่วมกับแผ่นใยแก้วเรืองแสงที่สร้างลวดลายได้อย่างสวยงาม ซึ่งกรอบหน้าปัดในแต่ละเรือนจะให้ลวดลายที่แตกต่างกัน ราคาในงานอยู่ที่ 69,000 บาท
รุ่นถัดมา ถูกถ่ายทอดความสวยงามผ่านซีรีส์ Mud Master คือ G-SHOCK GWG-2040FR ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานบนภาคพื้นดินอย่างสมบุกสมบัน จึงมีการดีไซน์โครงสร้างให้สามารถป้องกันฝุ่นและโคลนได้เป็นอย่างดี โดยนาฬิการุ่นนี้มาพร้อมการแสดงเวลาที่เป็นแบบดิจิทัล โดดเด่นด้วยลวดลายของกรอบหน้าปัดเรืองแสงที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุผสมที่ใช้ในส่วนของลำตัวของเครื่องบิน โดยวัสดุนี้เองได้ถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นชิ้นส่วนพิเศษของนาฬิกาอยู่ที่บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา และ 12 นาฬิกา ซึ่งคาร์บอนไฟเบอร์และอีพ็อกซีเรซินเรืองแสงจะถูกนำมาผ่านกระบวนการขึ้นรูป และตัดโลหะด้วยแรงดันที่อุณหภูมิสูง จากนั้นตามด้วยกระบวนการขัดและลงสี ทำให้เมื่ออยู่ในที่แสงจ้าจะมีลักษณะเป็นสีดำ แต่หากอยู่ในที่มืดจะเรืองแสงขึ้นมาเสมือนเปลวสุริยะที่เข้ากับขอบตัวเรือนได้เป็นอย่างดี ดูโดดเด่นและสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ในราคา 50,500 บาท
G-SHOCK x Eric Haze Collaboration
G-SHOCK Full Metal รุ่น GMW-B5000EH เป็นการร่วมมือกับ Eric Haze นักออกแบบลวดลายกราฟฟิตี้ผู้โด่งดังจากนิวยอร์ค ซึ่งเป็นศิลปินผู้มีอิทธิพลในงานศิลปะด้านกราฟฟิกตี้ ในยุค 70 มร.อีริค เป็นคนแรก ๆ ที่บุกเบิกงานศิลปะแนวกราฟฟิกตี้ให้กับวัยรุ่นอเมริกัน และในยุค 80 เป็นผู้ริเริ่ม และนำวัฒนธรรมกราฟฟิกตี้ขยายไปทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์ โลโก้ให้กับศิลปิน และแบรนด์ดัง ๆ ทั่วโลก โดย Eric Haze ได้ร่วมงานกับ G-SHOCK ในการออกแบบโลโก้ฉลองครบรอบ 25 ปี เป็นครั้งแรก และได้ออกแบบโลโก้ให้กับ G-SHOCK มาอย่างต่อเนื่องตั้งปี 25th 30th 35th และล่าสุด ได้ออกแบบโลโก้ครบรอบ 40th ในครั้งนี้ด้วย
สำหรับนาฬิการุ่นพิเศษรุ่นนี้ผลิตจากวัสดุโลหะทั้งตัวเรือน (Full Metal) ดีไซน์ลวดลายเฉพาะตัวของ Haze ลงบนสายที่มีการเคลือบไอพีสีดำ ผ่านการสลักด้วยเลเซอร์ทำให้ลวดลายของนาฬิกาออกมาเป็นรูปแบบ Graffiti อันเป็นซิกเนเจอร์ดีไซน์เฉพาะตัวของ Haze นอกจากนี้บริเวณฝาหลังของนาฬิกายังมีโลโก้ 40 ปี รวมถึงลายเซ็นของ Haze ที่จะปรากฏบนหน้าจอดิจิตัลเมื่อแสงไฟทำงาน เมื่อเอาคุณสมบัติของนาฬิกามาผนวกเข้ากับลูกเล่นที่ดูล้ำสมัยทำให้การร่วมมือกันครั้งนี้เหมาะจะเป็นสินค้าเปิดตัวเพื่อฉลองครบรอบ 4 ทศวรรษอย่างแท้จริง สนนราคาอยู่ที่ 35,000 บาทเท่านั้น
สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของเรือนเวลาสุดเอ็กคลูซีฟทั้ง 3 รุ่นนี้ สามารถไปเลือกชมได้ที่งาน Central International Watch Fair 2022 วันที่ 28 กันยายน -31 ตุลาคม 2565 พร้อมรับข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดในรอบปี พบกันที่ Event Hall ชั้น 3 ห้างเซ็นทรัลชิดลม และแผนกนาฬิกาของห้างเซ็นทรัลทุกสาขา รวมถึงช่องทางการช้อปสุดสะดวกของห้างเซ็นทรัล ทั้ง Central App แอปพลิเคชั่นสำหรับช้อปปิ้งบนมือถือ, เว็บไซต์ www.central.co.th ช้อปสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง, Central Chat & Shop ช้อปผ่านแชท Line Official @centralofficial , Central Personal Shopper On Demand โทร.1425 หรือช้อปผ่าน Facebook Page: CentralDepartmenstore คลิก facebookcom/CentralDepartmentStore