Rolex เปิดตัวนาฬิกา Submariner ครั้งแรกในปี 1954 โดยใช้ตัวเรือน Oyster ที่มีความสามารถกันน้ำลึก 200 เมตร/660 ฟุต โดยเริ่มมีการใช้ขอบ Bezel หมุนได้ที่มาพร้อมกับสเกล 60 นาที สำหรับใช้คำนวณเวลาถอยหลังสำหรับนักดำน้ำที่ต้องการคำนวณระยะเวลาของการทำงานใต้น้ำและปริมาณออกซิเจนในถัง หน้าปัดสีดำพร้อมหลักชั่วโมงแบบ 4 เหลี่ยมสลับกับวงกลมและรูป 3 เหลี่ยมกลับหัวตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา และสายโลหะในรูปแบบ Oyster จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้
ในปี 2020 มีการปรับโฉมใหม่ให้กับคอลเลกชั่น Submariner แบบยกแผง โดยเริ่มต้นที่รุ่น Submariner หรือ Sub No Date ที่มาพร้อมกับตัวเรือน Stainless Steel ที่มีการขยายขนาดตัวเรือนจากรุ่นเดิมขนาด 40 มิลลิเมตร เป็น 41 มิลลิเมตร และมีการปรับเปลี่ยน Lug ที่ดูเรียวยาวมากขึ้น ขอบ Bezel หมุนได้ทิศทางเดียวและ Insert Bezel Cerachrom สีดำ หน้าปัดสีดำ หลักชั่วโมงและชุดเข็มบอกเวลา “Mercedes Hand” ผลิตจากวัสดุ White Gold ที่มาพร้อมสาย Stainless Steel แบบขัดด้านทั้งเส้นที่มาพร้อมกับระบบ Glide Lock ที่สามารถปรับความยาวสายได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นาฬิกากันน้ำลึก 300 เมตร
ต่อด้วย Submariner Date มีหน้าต่างวันที่และมาพร้อมกับ Cyclop หรือเลนส์ขยายตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกา นาฬิกาตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตร หน้าปัดและ Insert Bezel Cerachrom สีดำ
ที่ขาดไม่ได้สำหรับ “Green Sub” รุ่นใหม่ ตัวเรือน Stainless Steel ขนาด 41 มิลลิเมตร พร้อม Insert Bezel Cerachrom สีเขียวกับหน้าปัดสีดำเหมือนกับรุ่นครบรอบ 50th Submariner ที่เปิดตัวในปี 2008 แทนที่ The Hulk ที่ใช้หน้าปัดและขอบ Bezel สีเขียวล้วน ที่ Discontinued ไปโดยปริยาย
และมาถึงรุ่นไฮท์ไลท์ที่ Rolex ปล่อยคลิปโปรโมทเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ในคอนเซ็ปต์ “Out of The Blue” ซึ่งขอบ Bezel Insert Cerachrom สีน้ำเงินนั้น ถูกใส่ลงในรุ่นตัวเรือน White Gold 18K ขนาด 41 มิลลิเมตร โดยต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ด้วยการเลือกใช้หน้าปัดสีดำแทนที่สีน้ำเงิน
นอกจากนี้ Rolex ยังเปิดตัวรุ่น 2 Tone และรุ่น Yellow Gold 18K หน้าปัดและ Insert Bezel Cerachrom สีน้ำเงินและสีดำ ซึ่งเป็นรุ่นคลาสสิกตั้งแต่ในอดีตอีกด้วย
ภายในมีการปรับเปลี่ยนใช้กลไก Automatic รุ่นใหม่ล่าสุดแทนที่ Cal.3130 ในรุ่น Submariner และ Cal.3135 ในรุ่น Submariner Date ซึ่งมาในรหัส Cal.3230 และ Cal.3235 (เหมือนกับ Sea Dweller 43mm) ความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง และมีการปรับปรุงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสำรองจากเดิม 48 ชั่วโมง เพิ่มเป็น 70 ชั่วโมง โดยมีการใช้ Paramagnetic blue Parachrom hairspring ที่มีคุณสมบัติป้องกันสนามแม่เหล็กและคงความแม่นยำกว่าแบบทั่วไปถึง 10 เท่า ในกรณีที่เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมทั้งระบบป้องกันการสะเทือน Paraflex อันยอดเยี่ยม ซึ่งกลไกทั้ง 2 รุ่นผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงจากสถาบัน COSC ในระดับ +2/-2 วินาที/วัน ซึ่งทำได้สูงกว่ามาตรฐาน Chronometer ถึง 2 เท่า
Rolex Submariner 41mm
Ref.124040 – Black Steel
ราคา 277,200 บาท
Rolex Submariner Date 41mm
Ref.126610LN – Black Steel
ราคา 313,200 บาท
Ref.126610LV – Green Steel
ราคา 327,600 บาท
Ref.126619LB – Blue White Gold
ราคา 1,360,800 บาท
Ref.12613LB – Blue 2 tone
Ref. 126613LN – Black 2 tone
ราคา 489,600 บาท
Ref.126618LB – Blue Yellow Gold
Ref.126618LN – Black Yellow Gold
ราคา 1,267,200 บาท
วางจำหน่าย ปี 2020
รายละเอียดเพิ่มเติม rolex.com
Initial Thoughts
ตลอดระยะเวลากว่า 66 ปี ที่ผ่านมา Submariner มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างน้อยมาก โดยเฉพาะขนาดตัวเรือนที่ Rolex เลือกใช้ขนาด 40 มิลลิเมตร มาเป็นเวลายาวนาน จนล่าสุดมีการปรับขนาดตัวเรือนให้ใหญ่ขึ้น 1 มิลลิเมตร และใช้กลไกรุ่นใหม่ล่าสุดแทนที่กลไกเก่าที่ประจำการมาตั้งแต่ปี 2001 สำหรับ Cal.3130 ในรุ่น Submariner และปี 1988 สำหรับ Cal.3135 สำหรับรุ่น Submariner Date ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในระดับ Major Change ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งในนาฬิการุ่นใหม่ก็ตาม แต่ Rolex ยังคงรักษาเอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยยังคงได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานและนักสะสมมาตลอดในฐานะนาฬิกาสปอร์ตอันดับหนึ่งของโลกตลอดกาล